บริการวางแผนลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา ตามมาตรา 40(1)-40(8)
พร้อมทั้งคำนวณสิทธิลดหย่อนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
สนใจทัก Line ได้เลย
ทำความรู้จัก “รายการลดหย่อนภาษี”
หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ค่าลดหย่อนภาษี” เป็นรายการที่ทางกฎหมายกำหนดให้หักการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อแบ่งเบาภาระทางด้านภาษีให้กับผู้เสียภาษี เช่น การจ่ายภาษีได้ถูกลง หรือการขอรับเงินคืนภาษี โดยสิทธิในการลดหย่อนภาษีนั้น จะมีหลากหลายหมวดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนบิดามารดา ค่าลดหย่อนบุตร ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาตรการทีทางรัฐกำหนดให้ในแต่ละปี เช่น โครงการช้อปดีมีคืน เป็นต้น
สรุปรายการลดหย่อนภาษี 2567 มีอะไรบ้าง
รายการลดหย่อนภาษี 2567 ที่ใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ที่มีเงินได้สามารถนำมาลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้
1. สิทธิลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
- สิทธิลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้
ผู้มีเงินได้ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าใช้จ่ายสำหรับตนเองได้จำนวน 60,000 บาท ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของการลดหย่อนภาษีที่ทุกคนได้รับ - สิทธิลดหย่อนสำหรับคู่สมรส
ผู้คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้จำนวน 60,000 บาท แต่กรณีที่คู่สมรสเป็นผู้มีเงินได้ สามารถเลือกยื่นภาษีแยกหรือรวมกันได้ - สิทธิลดหย่อนสำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของตนเอง หรือคู่สมรส จะได้รับสิทธิลดหย่อนคนละ 30,000 บาท กรณีบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท โดยบุตรแต่ละคนจะต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และต้องมีอายุไม่ถึง 20 ปี
หรือหากอายุไม่เกิน 25 ปี แต่ยังศึกษาอยู่ระดับอนุปริญญาหรือปริญญาตรีขึ้นไป รวมถึงหลักสูตรเนติบัณฑิต หรือเป็นผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ - ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร
ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ หากเป็นการตั้งครรภ์แฝด จะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์เท่านั้น โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือ ใบรับรองแพทย์ที่แสดงความเห็นว่ามีภาวะตั้งครรภ์ และใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้จ่ายให้สถานพยาบาล ใช้สิทธิได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
- สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
บิดา มารดา ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยบิดา มารดาต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และในกรณีที่ยื่นรายได้รวมกับคู่สมรส สามารถนำบิดาและมารดาของคู่สมรสมาหักลดหย่อนได้ด้วย สูงสุดคือ 4 คน
ทั้งนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ หากในครอบครัวมีบุตรหลายคนที่อุปการะบิดาหรือมารดา บุตรแต่ละคนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบิดา มารดาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซ้ำซ้อนได้ และต้องมีหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ล.ย.03) ส่วนบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิหักลดหย่อนในส่วนนี้ - สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูผู้พิการ หรือคนทุพพลภาพ
หากผู้มีเงินได้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการ/ทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน โดยคนพิการ/ทุพพลภาพนั้น มีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และผู้มีเงินได้มีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะจะได้รับสิทธิลดหย่อน 60,000 บาท
กรณีผู้พิการ/ทุพพลภาพ เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร จะได้รับสิทธิลดหย่อนทั้ง 2 ส่วน และได้รับสิทธิทุกคนโดยไม่จำกัด แต่หากไม่ได้มีความสัมพันธ์นี้กับผู้มีเงินได้ จะได้รับสิทธิลดหย่อนเพียงแค่ 1 คนเท่านั้1.สิทธิลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
2. สิทธิลดหย่อนจากการออม การลงทุน และประกันชีวิต
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม สามารถแบ่งได้ตามมาตรา คือ
- มาตรา 33 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท (มนุษย์เงินเดือน)
- มาตรา 39 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,184 บาท
- มาตรา 40 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 840 (ทางเลือกที่ 1), 1,200 (ทางเลือกที่ 2) และ 3,600 (ทางเลือกที่ 3) - เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
สามารถนำมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ เฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - เงินสะสมกองทุนออมแห่งชาติ (กอช.)
กองทุนนี้เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระเท่านั้น สามารถหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสะสมทรัพย์
สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป โดยหากมีผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี (ไม่รวมเงินปันผลตามกรมธรรม์) ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี - เบี้ยประกันสุขภาพ
สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์แล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท - เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
สามารถลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ได้ทำประกันชีวิตแบบทั่วไป จะสามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักลดหย่อนในส่วนนี้ได้ก่อน หรือหากใช้เบี้ยประกันชีวิตลดหย่อนไปแล้ว แต่ยังไม่เกิน 100,000 บาท ก็สามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักให้เต็มจำนวน 100,000 บาทได้ก่อน ส่วนที่เหลือจะสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มอีกสูงสุด 15% ของรายได้ - เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
สิทธิลดหย่อนนี้สามารถใช้สิทธิได้ทั้งบิดามารดาของตนเอง และคู่สมรส โดยจะได้สิทธิลดหย่อนตามจริง แต่เมื่อนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพรวมกัน ทั้งของบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยบิดา มารดาจะต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนนี้เช่นกัน - เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญของคู่สมรส
หากในปีภาษีนั้น ๆ คู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้สูงสูด 10,000 บาท - เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งจะต้องลงทุนในธุรกิจ หรือลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ซึ่งหากเป็นการลงทุนในหุ้น จะต้องถือหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ๆ จนกว่าจะเลิกกิจการ - ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
การลงทุนในกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
การลงทุนในกองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้** และสุงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
การลงทุนในกองทุน Thai ESG ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2575 สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดต้องไม่เกิน 100,000 บาท
*กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ หมายถึง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
3. สิทธิลดหย่อนจากมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องมีหนังสือรับรองตามแบบที่อธิบดีกำหนด
- โครงการ Easy-Receipt 2567
ค่าซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถนำใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม VAT แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และจะต้องเป็นสินค้าที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ตามระบบของกรมสรรพากรเท่านั้น
4. เงินบริจาค
- เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
เงินบริจาคให้สถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน กีฬา สถานพยาบาลของรัฐ และเงินบริจาคพิเศษผ่าน e-Donation สามารถนำมายื่นลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน - เงินบริจาคทั่วไป
สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนผ่าน e-Donation
- เงินบริจาคพรรคการเมือง
สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นใดที่พิสูจน์ได้ถึงการบริจาคให้พรรคการเมืองดังกล่าว
สิทธิลดหย่อนข้างต้นเป็นรายละเอียดในแต่ละหมวดหมู่
หากท่านใดทราบรายละเอียดอยู่แล้ว สามารถดูสิทธิลดหย่อนประจำปีได้จากรูปภาพ
หรือติดต่อเราเพื่อช่วยวางแผนภาษีให้